
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ทำงานเขียนสารคดีมานาน และบางครั้งเธอเขียนเรื่องสั้น การเขียนทั้งสารคดี และเรื่องสั้น ภายใต้ข้อมูลที่อัดแน่นกับองค์ความรู้ หลากสาขาวิชา ซึ่งบ้างเธอก็เรียนมาโดยตรงบ้างก็ ค้นคว้าเพิ่มเติมแต่ส่วนใหญ่ คือ การลงสู่ภาคสนามจริง ยังผลให้เธอนำมาปรับประยุกต์ใช้นำมาแยกและ ย่อย เพื่อที่จะเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ได้อรรถรส ทำให้ผู้อ่านรู้สึกสนุก มีอารมณ์ขันและได้เนื้อหา สาระครบถ้วนแน่นอนย่อมมิใช่เรื่องง่าย แต่ ตลอดระยะ เวลาของการทำงานที่ผ่านมา และถ้าผู้อ่านได้ติดตามผลงาน ของเธอมาโดยตลอด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะบอก หรือยอมรับกันว่า
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว เป็นนักเล่าเรื่องบนหน้ากระดาษที่ดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะ เรื่องที่เกี่ยวกับพื้นบ้านพื้นถิ่น ผู้คน จารีต วัฒนธรรม ทั้งที่ดำรงอยู่และที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว เป็นนักเล่าเรื่องบนหน้ากระดาษที่ดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะ เรื่องที่เกี่ยวกับพื้นบ้านพื้นถิ่น ผู้คน จารีต วัฒนธรรม ทั้งที่ดำรงอยู่และที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“นักเล่านิทาน” มิเพียงแค่เรื่องเล่ารอบกองไฟ และคงมิใช่นิทานแห่งเจ้าหญิงเจ้าชายที่เริ่มเรื่อง ด้วยกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หากแต่ “นักเล่านิทาน”คือคำบอกเล่าของผู้คนที่เล่าแล้ว มิเพียงแค่เป็นนิทาน ของแผ่นดิน หากแต่คือประวัติศาสตร์คำบอกเล่า ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้อ่านรู้ด้วยว่า คนที่เอานิทาน
ต่าง ๆ มาเล่าต่อนี้ มีรากเหง้าเหล่ากอ มีความเป็นมาเช่นไร
ต่าง ๆ มาเล่าต่อนี้ มีรากเหง้าเหล่ากอ มีความเป็นมาเช่นไร
บางส่วนจากเรื่อง แก้บน เมื่อบอกเพื่อนฝรั่งว่าคนไทยนั้นชอบ “บน”เป็นที่สุดอันหมายถึงขอให้พลัง ของเทพเจ้า ดลบันดาลหรืออำนวยความสะดวกให้เกิดสิ่งพึงประสงค์ หากประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น หายป่วย ค้าขายได้ผล ไม่ติดทหาร สอบเอนทรานซ์ผ่านสอบเข้างานได้ ถูกหวย เลิกกับผัวได้สำเร็จ ฯลฯ จะต้องรีบมาแก้บนให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไปติดสินบนเจ้ากันใหม่ และเพื่อจะได้หลีกพ้นผลในทางร้าย ไม่ว่า จะเป็นป่วยไข้ ประสบปัญหาต่าง ๆ ในชิวิตอันเกิดจากการบิดพลิ้ว ไม่ยอมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับ เจ้าป่า เจ้าเขา “คุณพ่อ”พระศักดิ์สิทธิ์ หรือวิญญาณบุรพกษัตริยองค์ต่าง ๆ และแถมบอกเพื่อนไปอีกด้วยว่า คนไทยนั้นติดสินบนคอร์รัปชัน จ่ายและรับคอมมิชชันกันทุกวงการทุกระดับ ดูเอาเถอะ จากยอดพีระมิด ยันฐานล่าง ตั้งแต่ภูติผี ข้าราชการ พ่อค้า นักการเมือง ไปยันภารโรงและชาวบ้านมือดำตีหนา ล้วนมีสัดส่วนการจ่ายการรับเพิ่มขึ้นลดทอนลงไปตามลำดับของพีระมิดระบบนี้มันฝังลึกในเลือดในเนื้อ ในวัฒนธรรม ในวิญญาณเรามีปฏิสัมพันธ์กับ “คน” ในสังคมอย่างไร เราก็สัมพันธ์กับ “ผี”ในสังคม ด้วยด้วยวิถีเดียวกัน
บางส่วนจากเรื่องเมีย ๆ จารีตสมัยก่อนของชาวบ้านเป็นครรลองอันแจ่มชัด...เขาไม่มานั่งถามนอนถามกันกับไอ้คำถาม สะตึๆ แต่งก่อนอยู่หรืออยู่ก่อนแต่ง อย่างที่ถามกันในสมัยนี้หรอก มันไม่ใช่สาระของชีวิต จะแต่งหรือไม่แต่ง จะแต่งหรือไม่แต่ง กระทั่งการฉุดคร่าพากันไป คนมันก็ยังอยู่กันได้ ตั้งเป็นครอบเป็นครัวขึ้นมาได้เพราะ สังคมทั้งสังคมได้บ่มเพาะศีลธรรม เมตตาธรรมลงในจิตใจสมาชิกชุมชน เป็นพื้นฐานคอยปกป้องดูแลอยู่ เป็นจารีตเป็นข้อตกลงที่รับรู้กันทั่วทั้งชุมชน ไม่ให้เพศสัมพันธ์เป็นเรื่องตักตวงเอาแต่ความสนุก แต่เพศสัมพันธ์คือการทำให้คนกลายเป็นผัวกลายเป็นเมีย ให้หญิงและชายตระหนัก ถึงความรับผิดชอบ ทั้งกายและใจต่อกันสำนึกถึงหน้าที่ระหว่างกัน โดยมีครอบครัวทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มีการนินทา ว่าร้ายคอยควบคุมกำกับ การหลับนอนจึงมิใช่เรื่องสนุกเอาแต่ได้ ต่างคนต่างได้แล้วสะบัดก้นจากกันไป เหมือนปัจจุบันนี้ซึ่งถุงยางอนามัยเทคโนโลยีคุมกำเนิดต่าง ๆ ได้ร่วมป็นแรงหนุนให้เปิดรับวัฒนธรรม ทางเพศของฝรั่ง และก่อเกิดทัศนะทางเพศสัมพันธ์แบบใหม่จนทำลายจารีตชาวบ้านไปเสียหมดสิ้น
บางส่วนจากเรื่อง ตบเมีย สมัยเป็นเด็กกว่านี้ อายุสักไม่เกินยี่สิบต้น ๆ ดิฉันเคยถูกทำให้เชื่อว่า การตบตี ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องของชาวบ้าน กรรมกร คนไร้การศึกษา ส่วนคนเป็นปัญญาชน เรียน หนังสือ ไม่มีใครเขาแก้ปัญหาครอบครัวด้วยการใช้กำลัง มีแต่คนงานกรรมกรเท่านั้นที่ตบเมีย ตีหัวผัว และถูกผัวตบจนวันหนึ่งไปซื้อส้มตำรถเข็นหน้าปากซอย และเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่ง ออกทีวีให้สัมภาษณ์ว่า โดนสามีทำร้ายจนเป็นเรื่องฮือฮา โจษขานกันทั้งเมือง ข้อสรุปชัดเจนยิ่งที่ดิฉัน ได้รับฟัง จากบทสนทนาที่แม่ค้าส้มตำตะโกน คุยกับแม่ค้าหอยทอดขณะรัวสากกระหน่ำ บดกระดองปูเค็ม อยู่โป๊ก ๆ ...ก็คือ...”ฉันเพิ่งรู้...ไม่ใช่แต่เรา ๆ ที่โดนซ้อม คนเป็นเจ้าก็ถูกผัวซ้อมได้เหมือนกัน พี่สาวนักเขียนคนหนึ่ง เพิ่งคลอดลูกได้เจ็ดวัน พูดผิดหูสามีหน่อยก็ถูกผัวซ้อมปางตายจนแผล คลอดลูกที่เย็บเอาไว้ฉีกขาดต้องกลับโรงพยาบาลไม่เย็บกันใหม่ และยังโดนซ้อมอยู่อีกเป็นปีจนประวัติการ ”ประสบอุบัติเหตุ” ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์หนาเป็นปึก และหมอที่ดูแลรักษาเตือนด้วยความเวทนาว่า.. ”นี่คุณเลิกหกล้มเสียทีได้ไหม”