วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ความสุขของกระทิ ตอน ตามหาพระจันทร์ โดย งามพรรณ เวชชาชีวะ

ความสุขของกะทิตอนตามหาพระจันทร์ ความสุขของกะทิ เล่มแรกนั้น กล่าวถึงเด็กหญิงกะทิที่อาศัยอยู่กับตายาย โดยที่เด็กหญิงกะทิเข้าใจว่า ตัวเองเป็นเด็กกำพร้า จนกระทั่งรู้ความจริงว่าแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่แต่ป่วยเป็นโรค ที่ไม่สามารถรักษาหายได้ ในภาคนั้นกล่าวถึงการใช้ชีวิตของเด็กหญิงกะทิร่วมกับ ตาและยาย และเมื่อกะทิได้พบกับแม่ก็จนเมื่อแม่มีอาการหนัก กะทิได้รู้จักกับแม่ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วโรคร้ายก็พรากแม่ไปจากกะทิ แต่ระหว่างนั้นกะทิก็ได้รู้จัก กับลุงตอง น้าฎา น้ากันต์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของแม่ ซึ่งเพื่อน ๆ ของแม่นี้แหละที่เป็นผู้ช่วยเหลือตายายในการดูแลรักษาจิตใจของกะทิหลังจากเสียแม่ไป ความสุขของกะทิตอนตามหาพระจันทร์  จึงเป็นเรื่องราว ของกะทิที่แม่ซึ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคร้ายมีชีวิตเหลืออีกไม่มาก แม่จึงเตรียมการต่าง ๆ ทุกอย่างไว้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่าน มาให้กะทิได้รับรู้ การค้นหาของกะทิจึงได้ค้นพบเรื่องน่าตื่นเต้น และทำให้กะทิได้รู้จักโลกใหม่ ทำให้กะทิได้รับรู้เรื่องราวที่แสนเศร้า เรื่องราวความรัก ความผิดพลาดของแม่ ทำให้กะทิได้ใกล้ชิดและ รู้จักแม่มากขึ้น ด้วยวิธีการของแม่ทำให้กะทิเข้าใจและจัดการ กับความรู้สึกของตัวเองได้ง่ายขึ้น ทำให้กะทิเข้าใจทั้งความรู้สึก ของตัวเองและของผู้คนรอบข้างด้วย 

          บางครั้งความเศร้าก็จำเป็นสำหรับจิตใจ อย่างน้อย ก็ทำให้เรามองเห็นความสุขได้ง่ายขึ้น

          ในความสุขของกะทิตอนตามหาพระจันทร์นี้ ผู้เขียน บอกเล่าเรื่องราวต่อเนื่องจากความสุขของกะทิ เป็นเหตุการณ์ หลังจากกะทิได้สูญเสียแม่ไป แน่นอนจิตใจของกะทิบอบช้ำ โศกเศร้า จึงเป็นช่วงเวลาของการเยียวยาจิตใจเด็กหญิง เรื่องราว แบ่งออกเป็น 3 เหตุการณ์  เหตุการณ์ที่บ้านริมคลอง บ้านกลาง เมือง และที่บ้านริมคลองอีกครั้ง เปิดเรื่องที่บ้านริมคลอง กะทิ กลับมาอยู่กับตายายเหมือนเดิม เพื่อเรียนหนังสือต่อให้จบโดยมี เพื่อน ๆ รักของแม่ ยังคงตามมาดูแลเอาใจใส่กะทิ ที่บ้าน ริมคลองนี้มีเหตุการณ์ที่ทำให้กะทิตื่นเต้นหลายเหตุการณ์ มีอยู่ ตอนหนึ่งกะทิมีครูคนใหม่เป็นชาวฝรั่งเศสชื่อ ปิแอร์  ปิแอร์ชอบ ขี่จักรยานท่องเที่ยว ทำให้กะทิคิดถึงแม่
          กะทิยังได้รับคำสอนข้อคิดดี ๆ จากตาอีกด้วย เช่น ตอนหนึ่งตาสอนกะทิว่า โลกในอนาคตมีแต่จะขัดแย้งกัน ถ้าคนเราใจแคบนะ กะทิ คนเราชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียด้วย สิทุกสังคมหละ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่   และตายังบอกกะทิอีกว่า เวลาเป็นของสมมุติที่มนุษย์คิดขึ้นมา เพื่อวัดระยะเวลาที่ผ่านไป ตามความเป็นจริง แต่ความรู้สึกสุขทุกข์ของเราต่างหากที่เป็น ตัววัดว่าเวลาผ่านไปเร็วหรือช้าแค่ไหน ในบทส่งท้ายลุงตอง บอกกะทิว่า ชีวิตก็เหมือนบทเพลง ต่างลีลา ต่างจังหวะ มีทั้ง โศกเศร้าเหงาซึ้ง ทั้งสุขสนุกร่าเริง และแน่นอนคละเคล้ากันไป ยามทุกข์คงไม่มีอะไรดีกว่าอดทนและรอให้ทุกอย่างผ่านไป ในที่สุด ยามสุขก็คงไม่หลงลืมว่าวันข้างหน้าอาจมีสิ่งเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นได้
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น