วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

มหาลัยเหมืองแร่ โดย อาจินต์ ปัญจพรรค์


...มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเรียนไม่จบสอนวิชาวิศวกรรมสาธารณสุข
ไว้ว่า ในโรงงานจะต้องโปร่ง มีอากาศถ่ายเทเพื่อถนอมสุขภาพของ
คนงาน แต่เหมืองแร่จริงกลับสอนข้าพเจ้าว่า ในบ้านพักเราจะ ต้องเลือกที่นอนหลับในมุมปลอดจากกลิ่นเผาผีจากป่าช้าใกล้ ๆ นั้น วิชาสาธารณสุขสอนว่า คนทำงานหนักควรจะกินอาหารอะไรบ้าง จึงจะได้แคลอรี่ให้เพียงพอแก่งานหนักใน ๑ วัน แต่เหมืองแร่ที่ข้าพเจ้า ต่อสู้ชีวิตอยู่กลับบอกความจริงว่า มันไม่มีร้านขายอาหารและไม่มีความ สมบูรณ์ทุกมื้อ
 ซ้ำยังสอนวิธีเดินลุยน้ำค้างหนีทากเข็มตามใบหญ้าเพื่อ จะไปส้วมในตอนเช้า วิชาวิศวกรรมบรรยายในมหาวิทยาลัยชั่วโมงแรกสอนว่า การทำอุตสาหกรรมต้องดูการขนส่งสิ่งที่ผลิตได้ ต้องเลือกทำเลใกล้ตลาด เพื่อนำ แร่เข้าตลาดได้เร็วและสะดวก แต่ที่เหมืองแร่กลับมีข้อเท็จจริงว่า รถที่ขนแร่ จากเรือที่ขุดไปสู่ที่เก็บนั้น ท้ายรถอันเป็นกระบะที่กรรมกรขนแร่ต้องนั่ง ตากแดดตลอดทาง เอื้ออำนวยโอกาสและสถานที่สำหรับกรรมกรควักแร่ในถัง ใส่ปิ่นโตเปล่าของเขาตีหน้าตายหิ้วไหล่เอียงกลับไปบ้านของเขาได้สะดวกมาก
        มหาวิทยาลัยสอนวิธีพลีสผู้หญิง เราจะต้องเดินคุมด้านที่รถวิ่ง เพื่อให้ผู้หญิงเดินคู่ปลอดภัย เลดี้เฟิร์สต - ผู้หญิงก่อน ผู้หญิงต้องได้ที่นั่งในรถประจำทาง ผู้หญิงต้องถูกประคอง แขนเมื่อข้ามถนน แต่เหมืองแร่มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตไม่มีผู้หญิงเลย ถ้าเราอยากได้ก็ต้องเสี่ยงภัย ไปตามหมู่บ้านในยามดึกสงัด แหย่นางด้วยเรียวไม้ให้รู้ว่าเรามาหา ตามถนนไม่มีรถ ไม่มีผู้หญิงเดิน เราต้องไป แกะหล่อนมาจากที่นอน มิใช่ที่นั่งในรถประจำทาง เพราะว่ารถประจำทางไม่ใช่สำหรับให้คนเหมืองแร่นั่ง... เขากำลังทำงาน ไม่มีเวลานั่งรถ
        มหาวิทยาลัยสอนความรักชาติ แต่เหมืองแร่สอนความรักชีวิต และนายฝรั่งซึ่งเป็นคนต่างชาติกลับ สอนวิชาความรู้ให้แก่ข้าพเจ้า อย่างน้อยก็สอนภาษาอังกฤษโดยที่แกก็ไม่รู้ว่ากำลังสอน คือ ดุเมื่อข้าพเจ้า ฟังไม่ออก นั่นเองทำให้ข้าพเจ้าดิ้นรนปรับตัวให้ดีขึ้น
        ความรู้ภูมิศาสตร์ที่เรียนแต่เล็กจนโต แล้วก็ฝังหัวว่าเมืองไทยมี ๓ ฤดู ร้อน หนาว ฝน ฤดูละ ๔ เดือนก็ครบ ๑ ปี แต่ชีวิตจริง ๆ ในเหมืองแร่ปักษ์ใต้ได้ให้ความรู้ใหม่ ผิดจากตำราที่ท่องจำจากสมุดเรียน มาเป็นประสบการณ์จริงใต้ท้องฟ้า...
จากเหมืองแร่ ๑ ฉบับสมบรูณ์ ตอน ฝนเหมืองแร่ หน้า ๒๗๘
         

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

แนวทางสู่ความสุข โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา




แนวทางสู่ความสุข...ในโลกยุคใหม่     ในยุคที่โลกกำลังเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี อย่างต่อเนื่อง มนุษย์เรากลับมีปัญหามากขึ้น มีความสับสนวุ่นวายมีความเครียด หนังสือเล่มนี้ มีจุดมุ่งหมาย ให้เรารู้จักลดความทุกข์ และ สามารถอยู่ในโลกด้วยความสงบสุข และช่วยให้เรา ได้เล็งเห็นถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต ให้เรารู้จักตัวเองให้เรารู้ ว่า...เรามาอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร เราจะได้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างถูกต้อง และให้เราเข้าใจว่า.. .เราจะเดินไปในทิศทางไหนต่อไป บทเรียนชีวิตแต่ละบทในหนังสือเล่มนี้ ถูกกลั่นกรองและคัดสรรมาเป็นอย่างดีจากประสบการณ์จากการศึกษา และการ ฝึกปฏิบัติมาเป็นเวลานาน การอ่านบทเรียนชีวิตแต่ละบทนั้นเปรียบเสมือนการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งเรา จะต้องรับประทานอาหารทีละมื้อ อาหารจะต้องถูกย่อยและถูกนำไปใช้ประโยชน์ภายในร่างกายเสียก่อนแล้วจึง ค่อยรับประทานอาหารในมื้อต่อไป แต่ถ้าพยายามรับประทานอาหารหลาย ๆ มื้อติดต่อกัน อาหารนั้นก็จะไม่ได้รับ การย่อย ซึ่งจะเป็นการสูญเสียอาหารไปโดยไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด  ดังนั้นให้ใช้เวลาว่างของคุณ ไม่ว่าก่อนนอน ตอนเช้าหรือเวลาใดก็ตาม นั่งพักให้สบายทำจิตใจให้ผ่อนคลาย แล้วหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านวันละหนึ่งบท
เมื่ออ่านแล้วก็ให้ทบทวนทำความเข้าใจบทเรียนให้มากขึ้น และพิจารณาตรึกตรองให้ถ่องแท้ว่า เราจะนำคำสอน ในบทเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรอย่าอ่านหลาย ๆ บทในวันเดียวกัน เพราะจะทำให้เราไม่ได้ รับประโยชน์ตาม จุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้อย่างแท้จริง
                                                                                  
ภาพสะท้อนของตัวเรา
...มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆเช้าภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้าน จากหน้าต่างชั้นบนบ้านและวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง เพื่อนบ้านเรานี่ ซักผ้า ไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซัก อย่างไร? สามีก็ตอบว่า อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเรา ให้สะอาด ก็แล้วกันแต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้า จากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว...” ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าวันนี้ เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาดอยากจะรู้เหลือเกินว่าเขาเปลี่ยนใช้ ผงซักฟอกยี่ห้ออะไรหรือทำอย่างไร...” สามีหัวเราะและกล่าวว่า... นี่ฉันรำคาญ เธอ เหลือเกิน เมื่อเช้านี้ฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด ก่อนหน้านี้กระจกมันสกปรก เธอมองออกไปก็เห็นแต่ความสกปรก...”   มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป เมื่อจิตใจของ เราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆ ตัว แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรกเราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว การที่ เราเห็นแต่ความเลวรอบๆตัวเรา เราต้องเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว...สิ่งที่เราเห็นมันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา และเราจะต้อง หาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์  ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว... จิตใจก็ไม่สงบ เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจมีความทุกข์แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี...เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดีจิตใจก็เบิกบานและมีความสุข...
                                                      


วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ในสวนขวัญ โดย ดวงตะวัน

สู่ร่มเรือนใจ ใต้เงาไม้รัก

ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นใจ...กับการที่ได้ดูแลและให้ความรักความห่วงใยกัน...

"...คำถามก็คือหล่อนต้องการอะไรหากจะใช้ชีวิตคู่อยู่กับใครสักคน
คำตอบชัดเจนมีอยู่ในใจ บัวบูชาต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้างเป็นขวัญและกำลังใจในวันที่ทุกข์ท้อหม่นมืด พร้อมจับมือจูงกันไปแม้ในวันที่พายุโหมกระหน่ำ หรือแม้แดดจ้าร้อนแรงก็ตาม คนที่จะไม่ทอดทิ้งกันไปไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคยากเข็ญสักแค่ไหน หรือแม้แต่เมื่อเราทำผิดทำชั่วในสายตาคนทั้งโลก เขาก็จะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหน..."

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใส่สีชีวิต โดย งามพรรณ เวชชาชีวะ




เคยได้ยินหลายคนพูดว่า เด็กนั้นเหมือนผ้าขาว ทำให้คิดว่าพ่อแม่ก็คงเปรียบเสมือนจิตรกร ผู้ที่จะระบายสีให้ผ้าขาวนั้นออกมาสวยงาม...ถ้าจิตรกรระบายสีลงบนผ้าขาวนั้นสวยงามอย่างที่ต้องการ ก็จะได้ภาพ สวยงามมีคุณค่าเป็นอย่างใจต้องการ หากเลือกสีผิดภาพที่ออกมาก็อาจคงด้อยทั้งคุณค่าและความสวยงามลงไป
       มีหนังสือดี ดีมาแนะนำอีกเล่มหนึ่ง คือ ใส่สีชีวิต เป็นผลงานเขียน ของนักเขียน รางวัลซีไรต์ งามพรรณ เวฃชาชีวะ ในใส่สีชีวิตนี้ งามพรรณได้เขียนขึ้น มาจากมุมมองและแง่มุมชีวิตส่วนตัว ที่หลายคนไม่เคยได้รับรู้ และที่สำคัญเป็นแง่มุมชีวิตที่มีแง่คิดงดงาม น่าแปลกที่เมื่อเริ่มลงมือเขียน ส่วนเสี้ยว จากความทรงจำมากมายเสนอรายละเอียดที่คมชัด และมีสีสันอย่างเหลือเชื่อ แม้บางเรื่องจะไม่เคยนึกถึงมานาน แสนนานแล้วก็ตาม ภาพอดีตที่คิดว่าจะเป็นภาพขาวดำเหมือนในอัลบั้มเล่มเก่ากลับมีสีสวยงาม ชวนให้ถ่ายทอด ออกมาได้อย่างสนุกสนาน และทำให้ตัดสินใจจัดหมวดเรื่องราวตามแม่สี อันได้แก่ แดง เหลือง น้ำเงิน (ผู้เขียน: งามพรรณ เวชชาชีวะ)
        งามพรรณ ได้แบ่งเรื่องราวตามแม่สีและในแต่ละสีเรื่องราวที่กล่าวถึงก็มีสีสันในตัวของมันเองอีกด้วย ใครที่อาจเคยอ่านผลงานของงามพรรณมาแล้ว ก็คงจะคุ้นกับสำนวนลีลาเรียบง่ายงดงามของการใช้ภาษา โดยไม่ต้อง มานั่งแปลความกันอีก หากจะพูดกันถึงเรื่องราวในเล่มนี้ก็คงจะแค่อยาก แนะให้ไปหามาอ่านกันและเป็นหนังสือ ที่อ่านได้ทั้งครอบครัวมีคุณค่าและคุ้มค่า
        พ่อเกิดวันอาทิตย์ และเป็นผู้ให้แก่ทุกคนรอบตัว พ่อทำมาตลอดจนเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องง่าย ขอเพียงเอ่ยปาก พ่อก็พร้อมจะให้ พ่อไม่ได้ให้เพียงข้าวน้ำ แต่ให้โอกาส พ่อให้โอกาสลูก ๆ เลือกทางเดินชีวิตตาม ต้องการและสนับสนุนส่งเสริมตลอดเส้นทางนั้น เพียงแต่มีข้อแม้สองข้อ ข้อแรก สิ่งที่เลือกมาเป็นหน้าที่การงาน จะต้องนำมาซึ่งความสุขความพอใจ พ่อไม่เอ่ยคำว่า ฉันทะ แต่นั่นคือหัวใจ ทำอะไรก็ได้ ขอให้ชอบ ไม่ชอบ ไม่รัก ก็อย่าทำเพราะจะทำได้ไม่ดี แล้วสิ่งที่ชอบและอยากทำก็จะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย นั่นคือข้อแม้ข้อที่สอง สมัยเด็ก เวลาลูก ๆ เห็นขอทานข้างถนน และบ่นกับพ่อว่าสงสารจัง พ่อบอกว่าจำความรู้สึกนี้ไว้ตราบที่เรารู้สึก สงสารเห็นใจคนอื่น ไม่มองข้ามไปหรือเห็นเป็นเรื่องธรรมดาตราบนั้นเราก็จะเลือกทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อผู้อื่น นี่คือ ตอนหนึ่งในหมวดสีแดงของผู้เขียน สีแดงของดวงอาทิตย์หมายรวมได้ถึงการก่อกำเนิดการให้ชีวิต งามพรรณ มีต้นกำเนิดที่เป็นผู้ให้ซึ่งเป็นต้นแบบของชีวิต เช่นกันนี้หากในสังคมผู้ใหญ่จะเป็นผู้ให้ เป็นต้นแบบที่ดีแก่เด็ก เราคงไม่ต้องมานั่งห่วงอนาคตของประเทศชาติเช่นนี้
        เด็กชายคนหนึ่งไม่เคยได้ร่วมเล่นกีฬาในชั่วโมงพละ เพราะครูพละรังเกียจ โดยเฉพาะว่ายน้ำ ไม่ให้ว่ายน้ำ ในสระโรงเรียน ก็พอจะเข้าใจ แต่ครูบังคับให้ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเพื่อน ให้ทุกคนเห็นรอยแผลตามตัว สายตารังเกียจ ที่มองมาเหมือนฆ่ากันทั้งเป็น การขาดความเข้าใจในเรื่องโรคเอดส์และการติดต่อของโรคทำให้ความกลัวเข้าครอบงำ ตามมาด้วยความรังเกียจที่ทำให้หัวใจปิดกั้นหนังสือสักเล่มหนึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างสะพาน ความสัมพันธ์ ถมช่องว่างของความแตกต่างที่กัดกร่อนใจดวงเล็กๆ ได้สักแค่ไหนหรือ ตอนนี้งามพรรณใช้ชื่อว่าลูกจัน เป็นตอนหนึ่งในหมวดสีเหลือง เป็นการเขียนถึงเรื่องราวของผู้ป่วยโรคเอดส์ซึ่ง งามพรรณได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัส เพราะต้องเขียนหนังสือเกี่ยวกับให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์แก่เด็ก ชีวิตบางชีวิตเพิ่งจะเริ่มงอกงามก็ต้องเหี่ยวเฉาลง
มีผลมาจากการกระทำของผู้ใหญ่ที่ขาดความรับผิดชอบ
        จะโทษใครได้ ในเมื่อสังคมเราเดินตามหลังโลกตะวันตกชนิดเกาะติดแจ เราเปิดโลกเสรี และไม่ได้เตรียม คนในสังคมให้พร้อมรับอย่างรู้เท่าทัน ที่หัวเราะไม่ออกก็อยู่ตรงที่เราเดินตามหลังและเลียนแบบในสิ่งที่ประเทศ ต้นทางเองกำลังกุมขมับกับปัญหาที่เกิดขึ้น เด็กนักเรียนชั้นมัธยมในสหรัฐอเมริกาเริ่มจับกลุ่มตั้งชมรมรักนวลสงวนตัว ฟังแล้วต้องเบิกตาว่าทุกอย่างที่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งจะต้องพยายามหาแรงทานเพื่อความลงตัวความเสรีในเรื่องเพศ ในกลุ่มวัยรุ่น ทำให้เกิดปัญหาโรคติดต่อรุนแรงขึ้นทุกที เด็กคนไหนฉลาดรู้จักป้องกันก็รอดตัวไป แต่เด็กที่ฉลาดกว่า พยายามสร้างกะแสใหม่ว่าการไม่มีเพศสัมพันธ์ซิเป็นเรื่องโก้เก๋ น่าจะได้เวลานำมาเผยแพร่นบ้านเรา เพราะเท่าที่รู้ นักเรียนหญิงในชั้นมัธยมแข่งกันทำคะแนนว่าใครจะจัดการกับหนุ่มในโรงเรียนได้จำนวนมากกว่ากัน... ดอกไม้สวยงามที่สุดยามแย้มบาน ซึ่งย่อมเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากความงามได้รับการยกย่อง และเห็นคุณค่า อันแท้จริงก็ย่อมทำอะไรได้มากกว่าแค่ประดับโลกให้งดงาม ต้องโทษคนเด็ดดอกไม้ด้วยว่าอยากได้ดอกไม้สวย ไปเสียบแซมผม บูชาพระ หรือเพียงดอมดมและขยี้ทิ้ง  ตอนหนึ่งในดอกอัญชันซึ่งอยู่ในหมวดสีน้ำเงิน ความรับชอบ ทั้งหลายทั้งมวลก็คงต้องตกไปที่ผู้ใหญ่ในชีวิตของเด็ก ๆ นั้น ...ถ้าผู้ใหญ่เป็นจิตรกรที่ตั้งใจระบายสีสร้างภาพที่สวยงาม เราก็จะได้ภาพที่สวยงามมีคุณค่ามาประดับโลกให้สวยงามน่าอยู่...