วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
โรดันเต้รำลึก Night in Rodanthe โดย Nicholas Sparks
"...ผู้คนไม่แตกต่างกันนักหรอก ไม่ว่าอยู่ในวันเยาว์หรือเฒ่าชรา จะเป็นชายหรือหญิง แทบทุกคนที่หล่อนรู้จักจะปรารถนาสิ่งเดียวกัน จิตที่สงบ ชีวิตที่ปราศจากปัญหา ความสุข แต่ความแตกต่างอยู่ที่ว่า หนุ่มๆสาวๆจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นรอคอยอยู่ในอนาคต ขณะที่ผู้สูงวัยจะรู้ว่ามันอยู่ในอดีต..."
ขอรักเธอมาเยียวยาใจ The Rescue โดย Nicholas Sparks
"...เขาต้องการอย่างนั้นจริงๆใช่มั๊ย บ้านที่ว่างเปล่า โลกที่ขาดเพื่อน ขาดใครสักคนหนึ่งที่ใส่ใจใยดีเขา โลกที่เขาปฏิเสธความรักทุกวิถีทางงั้นหรือ..."
"...ดอกโจเบลล์มีชื่อตามคุณ โจ เบลล์ ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้นานมาแล้ว ดูเหมือนว่าจะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอไปแต่งงานกับคนอื่น โจอกหักและย้ายไปเอ้าเทอร์แบงก์ เขาตั้งใจจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต เช้าวันแรก ณ ที่อยู่ใหม่ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเลาะชายหาดผ่านมาทางหน้าบ้านเขา ท่าทางผู้หญิงคนนั้นโศกเศร้าและเดียวดาย ต่อจากนั้นเขาก็เห็นเธอในเวลาเดียวกันทุกวัน ในที่สุดเขาก็ออกไปพบเธอ แต่พอเธอเห็นเขาเธอก็หันหลังกลับและวิ่งหนี
ไป เขาคิดว่าเขาคงทำให้เธอตกใจจนไม่มีวันจะหวนคืนมาอีกแล้ว แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ออกมาเดินเหมือนเดิม คราวนี้พอเขาเดินเข้าไปหาเธอ เธอไม่วิ่งหนี เมื่อโจเห็นหน้าเธอชัดๆเขาตะลึงในความงามของเธอ ทั้งคู่คุยกันทั้งวัน และในวันต่อๆมาด้วย ไม่นานก็รักกัน น่าประหลาดที่ว่าเวลาเดียวกับที่เขาตกหลุมรัก มีดอกไม้ช่อเล็กๆแตกกอขึ้นที่หลังบ้านเขา ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เคยมีใครในแถบนี้เคยเห็นมาก่อน เมื่อความรักของเขาเบ่งบาน ดอกไม้ก็แตกดอกออกช่อเพิ่มขึ้น พอสิ้นฟดูร้อน บริเวณหลังบ้านของเขาก็กลายเป็นทะเลดอกไม้สีสวยสดงดงาม
ณ ทะเลดอกไม้นี่เอง ที่โจคุกเข่าลงและขอให้เธอแต่งงานกับเขา เมื่อเธอตอบตกลง โจก็เด็ดดอกไม้สิบสองดอกส่งให้เธอ แต่ก็แปลกที่เธอดึงมือกลับไม่ยอมรับดอกไม้จากเขา ต่อมาในวันที่ทั้งคู่แต่งงานกันเธอจึงอธิบายเหตุผลว่า "ดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของความรักเรา" เธอกล่าวว่า "ถ้าดอกไม้อับเฉา ความรักก็คงสูญสิ้นไปด้วย" คำพูดนี้ทำให้โจตกใจมาก เพราะด้วยเหตุผลกลใดก็อธิบายไม่ได้ที่เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ดังนั้นโจจึงเริ่มปลูกและหว่าเมล็ดดอกโจเบลล์ไปตลอดแนวหาดที่ที่เขาพบกันครังแรกและต่อมาก็ขยายบริเวณมาจนถึงเอ้าเทอร์แบงก์ เพื่อเป็นสักขีพยานว่าเขารักภรรยามากมายเพียงใด และทุกปีที่ดอกไม้แตกก้านบานดอกเพิ่มขึ้น ทั้งคู่ก็ยิ่งรักกันมากขึ้น..."
"...ดอกโจเบลล์มีชื่อตามคุณ โจ เบลล์ ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้นานมาแล้ว ดูเหมือนว่าจะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอไปแต่งงานกับคนอื่น โจอกหักและย้ายไปเอ้าเทอร์แบงก์ เขาตั้งใจจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต เช้าวันแรก ณ ที่อยู่ใหม่ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเลาะชายหาดผ่านมาทางหน้าบ้านเขา ท่าทางผู้หญิงคนนั้นโศกเศร้าและเดียวดาย ต่อจากนั้นเขาก็เห็นเธอในเวลาเดียวกันทุกวัน ในที่สุดเขาก็ออกไปพบเธอ แต่พอเธอเห็นเขาเธอก็หันหลังกลับและวิ่งหนี
ไป เขาคิดว่าเขาคงทำให้เธอตกใจจนไม่มีวันจะหวนคืนมาอีกแล้ว แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ออกมาเดินเหมือนเดิม คราวนี้พอเขาเดินเข้าไปหาเธอ เธอไม่วิ่งหนี เมื่อโจเห็นหน้าเธอชัดๆเขาตะลึงในความงามของเธอ ทั้งคู่คุยกันทั้งวัน และในวันต่อๆมาด้วย ไม่นานก็รักกัน น่าประหลาดที่ว่าเวลาเดียวกับที่เขาตกหลุมรัก มีดอกไม้ช่อเล็กๆแตกกอขึ้นที่หลังบ้านเขา ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เคยมีใครในแถบนี้เคยเห็นมาก่อน เมื่อความรักของเขาเบ่งบาน ดอกไม้ก็แตกดอกออกช่อเพิ่มขึ้น พอสิ้นฟดูร้อน บริเวณหลังบ้านของเขาก็กลายเป็นทะเลดอกไม้สีสวยสดงดงาม
ณ ทะเลดอกไม้นี่เอง ที่โจคุกเข่าลงและขอให้เธอแต่งงานกับเขา เมื่อเธอตอบตกลง โจก็เด็ดดอกไม้สิบสองดอกส่งให้เธอ แต่ก็แปลกที่เธอดึงมือกลับไม่ยอมรับดอกไม้จากเขา ต่อมาในวันที่ทั้งคู่แต่งงานกันเธอจึงอธิบายเหตุผลว่า "ดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของความรักเรา" เธอกล่าวว่า "ถ้าดอกไม้อับเฉา ความรักก็คงสูญสิ้นไปด้วย" คำพูดนี้ทำให้โจตกใจมาก เพราะด้วยเหตุผลกลใดก็อธิบายไม่ได้ที่เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ดังนั้นโจจึงเริ่มปลูกและหว่าเมล็ดดอกโจเบลล์ไปตลอดแนวหาดที่ที่เขาพบกันครังแรกและต่อมาก็ขยายบริเวณมาจนถึงเอ้าเทอร์แบงก์ เพื่อเป็นสักขีพยานว่าเขารักภรรยามากมายเพียงใด และทุกปีที่ดอกไม้แตกก้านบานดอกเพิ่มขึ้น ทั้งคู่ก็ยิ่งรักกันมากขึ้น..."
วิวาห์นี้...มีเพื่อเธอ โดย Nicholas Sparks
"...ง่ายเหลือเกินที่จะทำให้คนที่เรารักเจ็บปวด หากยากยิ่งนักที่จะเยียวยาบาดแผลนั้น.."
"...เหตุการณ์ในปีที่เพิ่งผ่านไปสอนให้ผมรู้จักตนเองและช่วยให้ ผมเข้าถึงสัจธรรมของโลก ผมเรียนรู้ว่าง่ายเหลือเกินที่จะทำให้คนที่เรารักเจ็บปวด หากยากยิ่งนักที่จะเยียวยาบาดแผลนั้น ผมได้ประสบการณ์ชีวิตที่มีค่าที่สุดในระหว่างรักษาบาดแผลให้เจน มันทำให้ผมเชื่อแล้วว่า ผมประเมินตนเองสูงเสมอว่าสามารถทำบางอย่างสำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน แหละในทางกลับกัน ผมกลับประเมินตนเองต่ำเกินไปในสิ่งที่สามารถลุล่วงได้ภายในหนึ่งปี เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมตระหนักแน่แล้วว่า คนสองคนสามารถกลับมารักกันได้อีกครั้ง แม้ว่าจะผ่านความผิดหวังตลอดชีวิตที่เป็นคู่ครองกันมา..."
"...เหตุการณ์ในปีที่เพิ่งผ่านไปสอนให้ผมรู้จักตนเองและช่วยให้ ผมเข้าถึงสัจธรรมของโลก ผมเรียนรู้ว่าง่ายเหลือเกินที่จะทำให้คนที่เรารักเจ็บปวด หากยากยิ่งนักที่จะเยียวยาบาดแผลนั้น ผมได้ประสบการณ์ชีวิตที่มีค่าที่สุดในระหว่างรักษาบาดแผลให้เจน มันทำให้ผมเชื่อแล้วว่า ผมประเมินตนเองสูงเสมอว่าสามารถทำบางอย่างสำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน แหละในทางกลับกัน ผมกลับประเมินตนเองต่ำเกินไปในสิ่งที่สามารถลุล่วงได้ภายในหนึ่งปี เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมตระหนักแน่แล้วว่า คนสองคนสามารถกลับมารักกันได้อีกครั้ง แม้ว่าจะผ่านความผิดหวังตลอดชีวิตที่เป็นคู่ครองกันมา..."
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รักแรกพบ At First Sight โดย Nicholas Sparks
"รัก"หาใช่อารมณ์ความรู้สึกที่นำมาซึ่งความสุข
ยามเมื่อสมรัก หรือความชอกช้ำเมื่อไม่สมหวังเท่านั้น
หากรักช่างทรงอานุภาพมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ชโลมใจที่เปราะบาง บอบช้ำ อาดูรเพราะสูญเสียให้สมารถ
ดำรงชีวิตต่อไปได้.....
"...หากเจอเรมีก็จับตามองลูกน้อยของตน เขากะพริบตา มั่นใจในทันทีว่า นี่เป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ การรักใครสักคน การดูแลใครสักคน การแบกความกังวลให้ใครบางคนจนกว่าแกจะแข็งแกร่งพอที่จะแบกไว้ด้วยตนเอง การห่วงใยใครสักคนโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ด้วยว่าท้ายที่สุด มันช่วยให้ชีวิตมีความหมาย และเล็กซียินยอมอุทิศชีวิตของตนเอง ด้วยตระหนักแน่ว่าเจอเรมีจะสามารถแบกรับได้
และแล้วในชั่วขณะนั้น ขณะที่จ้องมองลูกน้อยผ่านหยาดน้ำตานับพันหยด เขาบอกตนเองว่ากำลังหลงรัก และไม่ปรารถนาสิ่งใดในโลก นอกจากการโอบอุ้มแคลร์ให้แกปลอดภัยตราบชั่วนิรันดร์..."
ยามเมื่อสมรัก หรือความชอกช้ำเมื่อไม่สมหวังเท่านั้น
หากรักช่างทรงอานุภาพมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ชโลมใจที่เปราะบาง บอบช้ำ อาดูรเพราะสูญเสียให้สมารถ
ดำรงชีวิตต่อไปได้.....
"...หากเจอเรมีก็จับตามองลูกน้อยของตน เขากะพริบตา มั่นใจในทันทีว่า นี่เป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ การรักใครสักคน การดูแลใครสักคน การแบกความกังวลให้ใครบางคนจนกว่าแกจะแข็งแกร่งพอที่จะแบกไว้ด้วยตนเอง การห่วงใยใครสักคนโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ด้วยว่าท้ายที่สุด มันช่วยให้ชีวิตมีความหมาย และเล็กซียินยอมอุทิศชีวิตของตนเอง ด้วยตระหนักแน่ว่าเจอเรมีจะสามารถแบกรับได้
และแล้วในชั่วขณะนั้น ขณะที่จ้องมองลูกน้อยผ่านหยาดน้ำตานับพันหยด เขาบอกตนเองว่ากำลังหลงรัก และไม่ปรารถนาสิ่งใดในโลก นอกจากการโอบอุ้มแคลร์ให้แกปลอดภัยตราบชั่วนิรันดร์..."
ลางรักลางเสน่หา True Believer โดย Nicholas Sparks
...เจอเรมี มาร์ช นักเขียนบทความสารคดีหนุ่มใหญ่
ผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติใดๆเดินทางไปที่เมืองบูนครีก
เพื่อพิสูจน์เรื่องแสงลึกลับในสุสาน
เขาได้พบกับเล็กซี บรรณารักาสาวสวยผู้มาดมั่น
และตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น
ดูเหมือนความรักของทั้งสองจะราบรื่น
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อปริศนาแสงลึกลับเริ่มคลี่คลาย
และเจอเรมีต้องเดินทางกลับเมืองหลวง
ปัญหาหัวใจระหว่างหนุ่มชาวกรุงและสาวชาวใต้
จึงเผชิญอุปสรรคครั้งใหญ่ที่ต้องร่วมกันฝ่าฟัน
"สภาพทั้งห้องเหมือนเมื่อวันก่อน กองเอกสารมากมายยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอ
หนังสือกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบภาพสกรีนเซิร์ฟเวอร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอเป็นภาพลายเส้นสีสดใสสลับเข้าแทนที่กันเรื่อยๆ เครื่องตอบรับโทรศัพท์วางอยู่ใกล้กับต้นไม้กระถางเล็กๆ ไฟที่เครื่องกระพริบบอกว่ามีข้อความบันทึกไว้
เขายังคงไม่อาจสลัดความคิดที่ว่า เมื่อไม่มีเล็กซี ห้องนี้ก็เหมือนกับว่างเปล่าไปทั้งห้อง"
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แม้ความตายก็มิอาจพราก The Guardian ของ Nicholas Sparks

หลังแต่งงานเพียงสี่ปี สามีของจูลี่ แบรนสันก็เสียชีวิต
เขาทิ้งของขวัญไว้ให้เธอสองอย่างนั่น
คือลูกสุนัขพันธุ์ เกรตเดนและคำมั่นสัญญา...
คือลูกสุนัขพันธุ์ เกรตเดนและคำมั่นสัญญา...
"จะคุ้มครองดูแลเธอเสมอชีวิตจะหาไม่"
...จูลี่เดินมาถึงหลุมฝังศพและยืนอยู่ที่นั่น
บอกไม่ถูกว่าจะรู้สึกยังไงในวันนี้ เธอถอนหายใจลึก
คอยให้น้ำตาไหล แต่มันก็ไม่ไหล
ไม่มีความรู้สึกระทมทุกข์เหมือนในอดีต เธอนึกภาพจิมในใจ ระลึกถึงวันชื่นคืนสุข และแม้ความทุกข์และความสุญเสียจะแผ้วผ่านเข้ามาในความทรงจำ มันก็เหมือนนาฬิกาที่ดังกังวานแว่วๆมาจากที่ไกลๆแล้วค่อยๆจางหายไปในที่สุด บริเวณนี้เหมือนไร้ความรู้สึก เธอไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร จนมองเห็นเทพธิดมีปีกที่สลักอยู่เหนือชื่อของเขา ทูตสวรรค์องค์ที่ทำให้เธอนึกถึงจดหมายที่เธอได้รับพร้อมซิงเกอร์
ผมคงหัวใจสลาย ถ้ารู้ว่าคุณจะไม่มีวันมีความสุขอีก...
หาใครสักคนหนึ่งที่จะทำให้คุณมีความสุข...
โลกน่าอยู่ขึ้นเมื่อคุณยิ้ม
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รักเธอชั่วนิรันดร์ Massage in a Bottle โดย Nicholas Sparks
"แม้เธอพรากจากไปกับวันคืน รักยั่งยืนรักเธอมั่นนิรันดร"
"...ที่รักนี่ไม่ใช่คำกล่าวลา นี่คือคำขอบคุณ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตฉัน
และนำพาความสุขมาให้ ขอบคุณที่รักฉันและได้รับความรักของฉันตอบ
ขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ฉันจะถนอมรักษาไว้ชั่วนิรันดร์ แต่ที่สำคัญที่สุด
ขอบคุณสำหรับการแสดงให้ฉันได้เห็นว่าจะมีสักวันที่ฉันสามารถ
ปลดปล่อยคุณไปจากใจฉันได้ในที่สุด
ฉันรักคุณ ท...."
"...ที่รักนี่ไม่ใช่คำกล่าวลา นี่คือคำขอบคุณ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตฉัน
และนำพาความสุขมาให้ ขอบคุณที่รักฉันและได้รับความรักของฉันตอบ
ขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ฉันจะถนอมรักษาไว้ชั่วนิรันดร์ แต่ที่สำคัญที่สุด
ขอบคุณสำหรับการแสดงให้ฉันได้เห็นว่าจะมีสักวันที่ฉันสามารถ
ปลดปล่อยคุณไปจากใจฉันได้ในที่สุด
ฉันรักคุณ ท...."
ก้าวรักในรอยจำ A Walk to Remember ของ Nicholas Sparks
"...ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรับความสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิแม้บิวฟอร์ต
จะเปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกับตัวผม แต่อกาศไม่เคยเปลี่ยน มันยังคงเป็นอากาศแห่งวัยเยาว์ อากาศแห่งวัยสิบเจ็ดของผม และเมื่อผมระบายลมหายใจออก ผมก็กลายเป็นชายชราวัยห้าสิบเจ็ดอีกครั้ง ไม่เป็นไร...ผมยิ้มรับสัจธรรม แหงนมองฟ้ากว้างพลางนึกได้ว่า
มีอีกข้อที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ ...ผมเชื่อแล้วว่าปาฏิหาริย์มีจริง"
"ความงดงามของความรักที่กาลเวลาไม่อาจลบเลือน"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)