วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

พระอาทิตย์คืนแรม โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

การเห็น...บางทีก็ไม่ต้องใช้นัยน์ตา


"...ชีวิตคือสิ่งที่ทรงคุณค่าแสนประเสริฐ
ชีวิตเป็นสิ่งน่าพิศวง
ประกอบด้วยความหลากหลาย
มีทั้งแสงสว่างแห่งวัน
และความมืดแห่งคืน
ชีวิตผ่านทั้งความตื่น ความหลับ และความฝัน
สมหวัง และพลาดหวัง
สุขและทุกข์ผลัดเปลี่ยนเวียนวน
นับแต่รู้สึกตัวในอดีตกาลเยาว์วัย
จนกระทั่งขณะปัจจุบัน..."

"...ฉันเป็นคนตาดี แต่ฉันก็มีข้อบกพร่องมากมาย แนเป็นคนไม่สวย หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ผิวก็ดำ แนเป็นคนไม่มีสเน่ห์อย่างยิ่ง ฉันจึงเลือกมาอยู่กับพวกเธอ เพราะพวกเธอมองไม่เห็นฉัน พวกเธอทำให้ฉันมีความสุข ไม่มีใครตำหนิหน้าตาของฉันว่าขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่มีใครตำหนิว่าฉันตัวดำ ฉันอยู่ในที่ที่เหมาะกับแน ทุกคนมีที่เหมาะของตัวเอง เราอาจจะยังไม่รู้ แต่เราก็ต้องเลือกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอสิ่งที่เหมาะกับสิ่งที่เราเป็น..."

"...จู่ๆตาของผมก็หมดสภาพ ถ้าเป็นพระท่านก็บอกว่าผมมีกรรมเก่า ผมไม่รู้หรอกว่า ผมมีกรรมเก่าอะไร แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสายพันธ์ของผม และผมก็คิดฆ่าตัวตายไปแล้ว ผมคิดทำลายสายพันธ์ของผมไปแล้ว แต่เมื่อกรรมหรืออะไรก็ตามไม่อนุญาตให้ผมตาย กรรมหรืออะไรอันนั้นกลับสั่งให้อยู่รอดโดยต้องตาบอด ผมก็อยู่ ผมอยู่อย่างคนตาบอด แต่ชีวิตผมต้องไม่บอด..."

"...เธอก็คือดวงตาทดแทนของเขาตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เธอได้ทำหน้าที่เป็นดวงตาให้เขาในแทบทุกเรื่องทั้งที่เห็นด้วยตาและเห็นด้วยใจ..."

"...ทุกครั้งที่ไกรอ่านหนังสือใส่เทป สำหรับกรรณเขารู้ดีว่าเขากำลังสอนตัวเองอยู่พร้อมกันไม่ใช่คนตาบอดหรอกที่ต้องการคำตอบของชีวิต คนตาดีอย่างเขาก็ไม่ต่างจากคนตาบอด..."

วุ่นวานสบายดี โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

รักอลวนของสัตวแพทย์อลเวง


"...มันเป็นเช่นดียวกับเขาได้ทิ้งบ้านเกิดของเขาเข้ามาหาความรู้ในเมืองหลวง และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง มีชื่อเสียงเกียรติยศอยู่กับการรักษาสัตว์ที่ถูกเลี้ยงในเมืองหลวงในรูปแบบต่าง ๆกันตามวิถีชีวิตของคนเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ..."

"...กลางหาวนึกว่าการที่เขาได้ยินสัตวแพทย์สำราญแสดงความมุ่งมั่นในการหาผลประโยชน์จากงานอาชีพนั่นเป็นที่สุดแห่งความตกต่ำในชีวิตขเงขาแล้ว..."

"...กลางหาวต้องพลิกฟื้นความทรงจำเป็นการใหญ่ สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ สัตว์กลาง สัตว์ยุ่ง สัตว์ยากและสัตว์อะไรต่ออะไรมากมาย แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดนั้นมีพันธ์ที่ยุ่งยากเกินกว่าจะควบคุมได้ นั่นคือพันธ์มนุษย์..."

"...ธรรมชาติคงกำหนดทุกอย่างสำหรับมนุษย์ไว้ให้พอดีๆ  อยู่แล้ว เมื่อใครทำท่าจะได้อะไรมากไปและหลงระเริงในสิ่งที่ได้นั้น ธรรมชาติก็ตัดการแบ่งสรรปันส่วนให้พอดีกัน โดยทำราวกับว่ามนุษย์เป็นผู้จัดทำขึ้นมาเอง..."

"...เป็นไงบ้าง เขาถามเธอ วุ่นวายนะ เธอตอบเขาด้วยประโยคสั้นๆว่า แต่ก็สบายดี..."

ในสวนฝัน โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

รวมเรื่องสั้นหลากความรักหลายความฝัน

"...ฉันอยากเป็นนักเขียน ฉันเฝ้าบอกใครต่อใครเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวหนังสือตัวแล้วตัวเล่า
ที่ฉันได้อ่านยิ่งช่วยกระพือความฝันนั้นให้ยิ่งแรงกล้า อยากเห็นตัวหนังสือที่ฉันเองเป็นคนเขียนเดินเรียงรายอยู่ในหน้ากระดาษ อยากเห็นชื่อของตัวเองในหน้ากระดาษเหล่านั้น อยากเห็นคนอ่านหนังสือบนรถเมล์และเรื่องที่เขากำลังอ่านนั้นเป็นเรื่องของฉันเอง อยากจะนั่งอมยิ้มเวลามีคนมาทักว่าเป็นคนเขียนเรื่องโน้น เรื่องนั้น หรือเรื่องนี้..."

"...เธอรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด ใครหนอจะฝันได้สวยงามเหมือนเธอบ้าง ใครหนอจะได้เห็นสวนดอกไม้เหมือนเธอบ้าง ดอกสีขาว สีชมพู สีม่วง สีแดง สีเหลือ สีฟ้า เอ๊ะมีดอกไม้สีฟ้าด้วยหรือ ใช่สิ เพราะเป็นความฝัน ดังนั้นดอกไม้จึงมีสีฟ้า เธอเดินออกไปตามทางแคบๆ ที่มีต้นไม้เล็กๆ มีดอกสีขาวเรียงรายไปตลอด และอดไม่ได้ที่จะออกนอกทางเดินไปดูดอกไม้สีฟ้าที่ชูช่ออยู่ประปรายสลับกับดอกไม้สีอื่น ๆ ในสวนมหัศจรรย์เช่นนี้ กลีบดอกไม้สีฟ้าเป็นรูปสามเหลี่ยมต่างจากดอกไม้ที่เธอเคยเห็นโดยทั่วไป เธอเอื้อมมือออกไปหวังเก็บมาดูให้ชิดใกล้ ทันใดนั้นเสียงเรียกชื่อเธอก็ดังขึ้นอีก เธออยากจะเก็บดอกไม้ไปด้วย แต่เสียงเรียกเธอกลับออดอ้อนน่าเห็นใจ เธอผละจากดอกไม้สีฟ้า และตัดสินใจก้าวเดินไปตามทางเดินที่ดูเหมือนว่ามีจุดหมายปลายทางเป็นเสียงทุ้มนุ่มนั้น..."

"...ชีวิตเหมือนการเดินทางผ่านไปตามถนนสายต่างๆ ที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมา ที่วนเวียนไปมาพบเจอกันจนจำกันได้ก็มาก แต่ที่ผ่านกันเพียงครั้งเดียวแล้วลับหายก็มีไม่น้อย บางคนก็เพียงเคยสบตากัน หรือเคยโบกมือให้กันแล้วก็ผ่านเลยไป..."

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

แบ่งฟ้าปันดิน โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

ชีวิตของครอบครัวที่ไม่ยอมแพ้ความทุกข์


"ในความคิดของเรา การแปรเปลี่ยนหมายถึงความทุกข์และการสูญเสีย ซึ่งถ้าหากมันอุบัติขึ้น เราก็มักพยายามปิดหูปิดตาไม่รับรู้ และพยามยามหลีกหนีไปเสียให้ห่าง เราคิดเอาเองอย่างหลงผิดว่าความเทียงแท้ถาวรก่อเกิดความมั่นคง ทว่าความไม่จีรังหาใช่ไม่ แต่ในความจริงแล้ว ความไม่เที่ยงเปรียบเหมือนคนบางคนที่เราได้พานพบเจอะเจอในชีวิต เป็นคนแรงร้ายและยากที่จะคบหาในตอนแรกเริ่มแต่เมื่อคบให้ลึกลงไปกลับพบว่าเป็นมิตรแท้และสนิทสนมกันเกินกว่าเราจะคาดคิด..."

"...ผมวันนี้ไม่ใช่ผมคนก่อน ผมวันนี้ไม่ใช่ผมคนเดิม ไม่ใช่นายอิฐ สายสมุทร สถาปนิกหนุ่มไฟแรง ไม่ใช่นักบริหารชั้นยอดแห่งบริษัทเคหาสน์ จำกัด ไม่ใช่คนหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จในวงการสถาปัตยกรรม ไม่ใช่ผู้นำของครอบครังสายสมุทรที่มีลูกชายฝาแฝดสุดวิเศษ ไม่ใช่สามีในฝันของผู้หญิงที่ชื่อปลายธารอีกต่อไป ผมเป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำอะไรด้วยตนเองแทบไม่ได้..."

"...ดีนะความทุกข์นี่ ถ้าไม่ได้ความทุกข์ ผมก็ไม่ได้บวช ถ้าไม่ได้ความทุกข์ ผมก็ไม่ได้รู้..."

ในสวนเมฆ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

เมื่อเรื่องราวภายนอกทำให้ภายในไหวหวั่น

"...เมฆรู้มั๊ยกว่าเราจะเรียนรู้ได้ว่าแม่รักเราแค่ไหน เราใช้เวลาไปกว่าสิบปี เราใช้เวลาอยู่กับการฟูมฟายเสียใจและหลงอยู่ในความทุกข์นานจนแม่ตายจากเราไป เราใช้เวลาเรียนรู้นานเกินไป จนแม่เราก็รอเราไม่ได้ เมฆก็เหมือนกันนะ ระวังเถอะ ย่ากับแม่ของนายน่ะ รักนานมากนะ เรารู้ เราหวังว่านายจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าเรา..."

  "...รูปปั้นแสนร้ายของเพื่อนพ่อ เขาเคยหยุดพูดคุยกับนังหยิ่งอยู่วันละนาน ๆ และค้นพบว่าในความนิ่งที่ย่ากับแม่มองเห็นเป็นความหยิ่งนั้น แท้จริงเป็นการกลบเกลื่อนความทุกข์อย่างน่าสงสาร เขาคิดอยู่ในใจเสมอว่าอาตาปีที่เป็นคนปั้น อาจจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจที่บอกใครไม่ได้ จึงเอามาแอบฝากไว้ที่นังหยิ่ง..."

"...นายไม่เป็นเรา นายไม่รู้หรอก เรื่องบางเรื่อง ความรู้สึกบางอย่าง เราก็อยากเก็บไว้ในใจคนเดียวนะ...ไม่อยากบอกให้ใครรู้...อยากรู้คนเดียว..นายไม่เคยป็นหรือไง..."

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

บานไม่รู้โรย โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง


เมื่อรักนิรันดร์บานในหัวใจ

"...ฉันไม่อาจเข้าใจได้ถึงความรักและความผูกพัน
ที่กลายเป็นความเกลียดชัง
เพราะถ้ามันแปรเป็นความเกลียดชังได้
ฉันก็เห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นความรัก
แต่มันเป็นความเห็นแก่ตัว..."

"...เราต่างมีกำหนดชีวิตมาต่างกัน เรามีปัจจัยปรุงแต่งในชีวิตมาไม่เท่ากัน ฉันไม่ได้โชคดีกว่าเขา และเขาก็ไม่ได้โชคร้ายกว่าฉัน บอกไว้เลยนะ ทั้งหนูการเวกและนายถม ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรจะน่ารังเกียจ น่าเย้ยหยันหรือน่าหัวเราะเยาะแค่ไหนในปัจจุบัน คุณกังวาน  แก้วคีตา ก็ยังยิ่งใหญ่ในใจของฉันเสมอ..."

"...เขาเคยพูดว่า ดวงดาวเป็นตัวแทนจินตนาการของมนุษยชาติเพราะมันทั้งสวยงาม
และทั้งอยู่ไกล เป็นอิสระจากมนุษย์ในการอธิบายให้เป็นรูปธรรมเต็มร้อย..."

"...ผมเรียนรู้แล้วครับว่าชีวิตคนเราไม่ยืนยาวอะไร วันหนึ่งผมอาจจะเป็นอัลไซเมอร์แบบคุณปู่ หรือผมอาจจะตายไปก่อนแบบคุณย่าสุรีย์เพราะฉะนั้น เมื่อผมรักใคร ผมก็จะใช้ชีวิตกับเขาอย่างคุ้มค่า..."

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ฤดูร้อน...มีดอกไม้บาน โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

หญิงสาวกับกำลังใจในการมีชีวิตอยู่


"...หนังสือที่น้ำตาลดูอยู่ตามที่แม่บอกนั้นก็คือ
โจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล
ยิ่งอ่านน้ำตาลก็ยิ่งอยากเป็นอิสระ
รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นแค่นางนวลในบทแรกที่เพิ่งจะหัดบินเลี้ยว
และตกลงมาปีกกระจุย.."ปีเราไม่ดีนี่นา"น้ำตาลบอกตัวเอง
"เราต้องดูแลปีกเราก่อนจะบิน"..."

"..อันปิติใดที่มีอยู่ในโลกนี้
อันสุขเกษมเปรมปรีดิ์
มีมาจากปราถนาภายใน
ปรารถนาให้ผู้อื่นรื่นรมย์
ปรารถนาให้ผู้อื่นสุขสม
ปิติจึงปรากฏมี
อันความทุกข์ใดในโลกนี้
อันความทุกข์ใดใดที่มี
ล้วนมาจากปรารถนาภายใน
ปรารถนาให้ตัวเองสุขเกษม
ปรารถนาให้ตัวเองอิ่มเอม
ความทุกข์จึงปรากฏมี..."

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ปุยนุ่นกับสำลี โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

 เรื่องอลเวงของสาวใช้กับเจ้านายผิวสีคล้ำ

"...สวัสดีค่า...สาวใช้คนใหม่ยกมือไหว้เจ้านาย ยิ้มหวานจนเห็นฟันขาวสว่าง เจ้านายก็ยกมือรับไหว้ ยิ้มจนเห้นฟันสว่างเหมือนกัน สาวใช้นึกในใจว่า เป็นเจ้านายก็ดำเหมือนกันแฮะ...เพราะแม้แต่ที่บ้านนอก เธอก็ไม่เคยเห็นเจ้านายคนไหนดำสักคน..."

"...อำนาจไม่ได้อยู่ที่สีผิว ไม่ได้อยู่ที่ความนุ่มเนียน ไม่ได้อยู่ที่ผมดำสลวย แต่อำนาจอยู่ที่สติปัญาของตัวคุณเอง...อยู่ที่ความหมายของความเป็นผู้หญิง อยู่ที่ความสามารถในการทำงาน อยู่ที่สมอง อยู่ที่หัวใจ..."

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

เช้าครึ่งชาม เย็นครึ่งชาม โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

เพราะเหตุใดจึงได้สมญานามเช่นนี้

"...เป็นข้าราชการน่ะ มีกินมีที่อยู่คุ้มหัวตลอดชีวิตเกษียณอายุแล้วก็ยังมีบำนาญกินจนกว่าจะตายไป..."


"...ข้าราชการทุกคนเหมือนพายเรือไปตามลำน้ำ บางคนก็ไปติดอยู่ในซอกเล็กซอกน้อย ออกมาไม่ได้ บางคนก็ลอยเอื่อยๆ อยู่ในร่องน้ำ บางคนก็แวะจอดอยู่ริมฝั่ง บางคนก็พายจ้ำๆ จะไปให้ถึงที่หมายให้ได้ จนบางที่ไปเจอน้ำดูด...น้ำเน่า..."
"...ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า บัดนี้สังคมของเราได้เสื่อมทรามลงไปแล้วด้วยเหตุที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของเราบางคนไม่สามารถดำรงความน่าเชื่อถือเอาไว้ได้ จะด้วยเหตุเพราะเรื่องความประพฤติปฏิบัติส่วนตัว หรือเรื่องของอามิสสินจ้างใดๆ ก็ตาม ความเสื่อมทรามดังกล่าวได้กลายเป้นความชอบ เพราะสามารถปิดบังหรือพลิกแพลงให้กลายเป็นความชอบไปได้..."

ห้องนี้รื่นรมย์ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

พอลงมือเขียนก็เก็บเอาความอยากตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักอ่านออกมาเขียน นั่นก็คือ บ้านหลังใหญ่ๆ นางเอกเรียนอัการศาสตร์และมีมุขพบพระเอกแบบ บังเอิ๊ญ บังเอิญ


"...การเรียนรู้ ต้องเรียนด้วยตนเอง ต้องลองปฏิบัติด้วยตนเอง การเรียนรู้เรื่องงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือการเสพ เป็นเรื่องต้องทำเอง จะให้คนอื่นอ่านแทนเราไม่ได้ ความเข้าถึง ความซาบซึ้งจากการกระทำด้วยตนเอง กับการฟังคนอื่นที่กระทำมาแล้วเล่า ย่อมมีรสไม่เท่ากัน..."

"...คนสามคนต่างที่เห็นพระจันทร์ดวงเดียวกัน เวลาเดียวกัน การเริ่มต้นมองพระจันทร์ออกจะคล้ายกัน แต่ท้ายที่สุด พระจันทร์กลับส่งผลต่อเขาทั้งสามต่างกัน สำหรับโทน เขาได้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ในขณะที่ลายสืออยู่ครึ่งๆกลางๆ ระหว่างความไม่แน่นอน และเฌอรู้สึกกลัวพระจันทร์..."

มิ่งมิตรในสวนดอกไม้ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง


เรื่องของผู้หญิงในสวนดอกไม้แห่งชีวิต


"...ตอนที่ฉันกำลังพินิจต้นบานไม่รู้โรยนี่แหละเธอก็ผ่านมา ดูเหน็ดเหนื่อยและทรุดโทรมจนฉันแปลกใจ เงาสะท้อนที่ปรากฎบนใบหน้าของเธอทำให้ความเหน็ดเหนื่อยในหัวใจของฉันมลายหายไปกว่าครึ่งต่อครึ่ง แนเคยรู้สึกเสมอว่าความทุกข์ที่ฉันได้รับนั้นมันมากมายและน่าเบื่อหน่ายจริงๆ แต่ฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เห็นความทุกข์แบบเดียวกันนั้นแต่มากกว่าในดวงตาของคนอื่น..."

สู่ดวงใจแผ่นดิน โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

ตำนานของนักอุดมคติที่หวังเห็นสังคมงดงาม



"...เขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมสนามฟุตบอล ภาพวันคืนเก่าๆเคลื่อนไปมาอยู่ในหัวของเขาเหมือนฉายหนัง ภาพคนหนุ่มสาวแตกกระเจิง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปืน ภาพเพื่อนๆล้มตายเหมือนใบไม้ร่วงต่อหน้าต่อตาเขาภาพผู้หญิงร้องให้ ภาพผู้ชายตะโกน และภาพเพื่อนๆที่คลานไปตามพื้นหน้าหอประชุมใหญ่..."

"...บางทีคนเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต และบางทีสิ่งที่ทำไปแล้วก็เป็นความผิดพลาดได้..."

"...ตำนานของคนเล็กๆ คนหนึ่ง คนที่รักแผ่นดิน ไปจากแผ่นดิน และคืนสู่แผ่นดินอย่างคนตัวเล็ก ไร้วีรกรรมใดๆ แต่กลับอยู่ในความทรงจำของเพื่อนเสียยิ่งกว่าคนบางคนที่รักแผ่นดิน ไปจากแผ่นดินและคืนสู่แผ่นดินอย่างคนยิ่งใหญ่ ประกอบวีรกรรมเพื่อส่วนรวมมากมาย แต่ไม่มีใครอยากเก็บไว้ใรความทรงจำ..."

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

บ้านหนังสือในดวงใจ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง


โลกอ่อนไหวของหัวใจรักการอ่าน

"...ความกระหายใคร่รู้ในตัวหนังสือได้สอนให้ฉันได้รู้ว่า ตัวหนังสือทุกตัวมีชีวิต มีความจริง และมีความรู้อยู่ครบถ้วน ไม่มีใครำสิ่งเหล่านั้นมาใส่เข้าไปในหัวและตัวตนของฉันได้ หากว่าฉันไม่อ่าน ด้วยตัวของฉันเอง..."

"...สำหรับฉันการอ่านหนังสือในห้องเยาว์วัย-ห้องสีขาวในบ้านหนังสือในดวงใจนี้ จึงเป็นเหมือนด่านอีกด่านหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายห้องของเล่น มีสิ่งสนุกสนานตื่นเต้น และให้รู้คิดรู้อ่านเปรียบดั่งของเล่นหลากหลายไว้ให้เลือกเล่นได้ตามใจชอบ โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดในชีวิต..."
"...ห้องสีชมพูนี้จึงไม่เป็นเพียงเป็นจุดกำเนิดความเพ้อฝันและจินตนาการให้หัวใจอ่อนเยาว์ของฉัน หากแต่ยังเป็นจุดรำลึกและกล่อมเกลาจิตใจในวันที่ความทุกข์ ความสับสนเข้ามาเกาะติดแนบแน่น ฉันวางมัน-ผู้เป้นอุปสรรคแห่งจิตทั้งปวงไว้หน้าประตู ก่อนก้าวล่วงเข้าไปในห้องสีชมพูแห่งความฝัน..."

กุหลาบในสวนเล็กๆ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

สานสายอุดมการณ์จากรุ่นสู่รุ่นด้วยหัวใจ

“เวลาที่คนเราน่เกลียดที่สุดคือเวลาที่คิดถึงประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด

และเวลาที่คนเราน่ารักที่สุด ก็คือเวลาที่คิดถึงคนอื่นมากที่สุด”
ศรีบรูพา








กุหลาบในสวนเล็ก ๆ นี้ คุณชมัยภร แสงกระจ่าง เป็นผู้เขียนโดยเขียนในแนวนวนิยายเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ความคิดของคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า และเพื่อระลึกถึง ศรีบรูพาในโอกาสครบรอบ 100 ปีชาตกาลศรีบรูพา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548 นวนิยายเรื่องนี้ใช้ตัวเดินเรื่องเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่น ที่ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คือ เรียน หนังสือ ให้แค่พอผ่าน ๆ ไปเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าเรียนจบ มีเวลาว่างก็เที่ยวเฮอากับเพื่อนฝูง ไม่ค่อยได้คิดถึงใครนอกจากตัวเอง แล้วก็มีเหตุให้เขาต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศรีบรูพา เริ่มจากอาจารย์สั่งให้ทำรายงานเรื่องศรีบรูพา ทำให้เขา เข้ามารู้จัก ประวัติศรีบรูพา ได้อ่านผลงานของศรีบรูพา และด้วยพื้นฐานจิตใจที่ดี ทำให้เขาซาบซึ้งในสิ่งที่ศรีบรูพาได้สร้างได้ ทำไว้ให้กับประเทศ โดยส่งผ่านมาทางตัวอักษร สร้างอุดมการณ์ให้แนวคิดที่คิดเพื่อคนอื่นให้กับหนุ่มสาวในสมัยนั้น
“ตราบใดที่เราคิดถึงแต่ตัวเองล้วนๆ คือตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปเพื่อจะได้กระดาษแผ่นหนึ่ง สำหรับจะไปรับประมูล เอาราคาสูงสุดของในตลาดของความขี้ฉ้อขูดรีด เราก็ได้รับยกย่องว่าเป็นเด็กที่อ่อนโยน สุภาพและน่ารัก แต่ถ้าเรา แบ่งเวลาไปคิดถึงเรื่องของคนอื่น ๆ คิดถึงความทุกข์ยากและความกดขี่อยุติธรรมที่เกิดขึ้น ที่นั่นและที่โน่น คิดถึงความขี้ฉ้อ ความล้มละลายทางศีลธรรม และความเน่าเฟะในสังคมของเรา และเราได้พูดบ่น หรือแสดงความไม่พอใจออกมาด้วย ความรู้สึกอันจริงใจของเรา เราก็จะถูกแลดูด้วยดวงตาอันถมึงทึงและถูกบริภาษว่า เป็นเด็กที่เกะกะ เป็นผู้ที่ก่อกวน ความไม่สงบเป็นแบบของคนถ่อยร้าย ....บางส่วนจากเรื่องสั้นคำขานรับ”








จดหมายถึงดวงดาว โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง




เรื่องของผู้หญิงสามคนกับตัวตนของเธอ

"...ในตอนแก้พลอยยังนึกเลยว่า นี่ถ้าชีวิตคนแก้ได้เหมือนนวนิยายก็ดีหรอก พลอยจะเขียนแก้ให้พ่อ แม่และลุงผาฟื้นขึ้นมา แต่พอนึกได้ว่า ถ้าพ่อแม่ฟื้นขึ้นมา พลอยก็อาจจะไม่ได้มาใกล้ชิดป้าดอกไม้ น้ำ แทน ก็อาจไม่ได้มาเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ และเราก็อาจมีวิถีชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง พลอยคิดได้อย่างนี้แล้วก็เลยเลิกคิด อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะแม่นะ
อะไรมันจะต้องเป็นมันก็เป็นนะแม่นะ.."

"...กลับมาจากหมู่บ้านคราวนั้นแล้ว น้ำหายซ่าไปเยอะเลยค่ะแม่ สภาพที่ได้ไปเห็นทำให้น้ำรู้ว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียวเอง และอะไรทั้งหลายที่เรามองเห็นเป็นทุกข์หนักหนาสาหัสสากรรจ์นั้น พอหันไปมองคนอื่นเสียบ้าง ก็จะรู้ได้เลยว่า น้อยนักหนา..."

"...แทนยังนึกเล่นๆว่า ถ้าเป็นแทนล่ะ แทนจะกล้าทำอย่างพี่น้ำไหม แล้วแทนก็ได้คำตอบมาชนิดที่แม่อาจยอมฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้ เพราะแทนเห็นว่าแทนก็คงทำแบบพี่น้ำ เพราะแทนกับพี่นทีเป็นคนเท่าๆกัน และแทนก็ยังอยากนามสกุลเดียวกับแม่อยู่ เราต่างก็เป็นตัวของตัวเอง พี่นทีไม่ต้องมาใช้นามสกุลแทน และแทนไม่ต้องใช้นามสกุลพี่นที แต่เราก็รักกันได้ใช่ไหมแม่..."

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ตะวันขึ้นที่ภูพระบาท โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

เรื่องของนักโบราณคดีในยุคสังคมข่าวสาร

"...สิ่งที่เราจะทำได้ในสังคมยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่
ก็คือการเรียนรู้วัฒนธรรมโดยเริ่มที่
ความภาคภูมิใจ ความพึงพอใจ แล้วมันจะ
นำไปสู่การเรียนรู้ ความรัก และความหวงแหนเอง..."


"...ดวงใจทุกดวง ดวงตาทุกดวงสมหวังแล้ว
ผู้เคยส่องกระจ่างกล้ากลายเป็นดวงกลมดำ พระราหูผู้หลบซ่อนมิเคยทาบรัศมีวันนี้หยิ่งผยองขึ้นทาบทับ แต่พระอาทิตย์ย่อมเป็นพระอาทิตย์ต่อให้มีเคราะห์กรรมหนักหนาสาหัสสักเพียงใด พระอาทิตย์ก็ยังทะนงตนเยี่ยงพระอาทิตย์ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าใต้พระราหูนั้นคือพระอาทิตย์ ในเมื่อรัศมีสีน้ำเงินประกายที่รายรอบออกมานั้นคือความยิ่งใหญ่อันบดบังมิได้นั่นเอง
พบแก้วรู้อยู่แก่ใจอยู่ในวินาทีนั้นว่า ธรรมชาติมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่เหลือเกิน..."

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ..ที่รัก โดย ไพลิน รุ้งรัตน์

นวนิยายรักของคนรักหนังสือ

"...นี่ตู้นี้เป็นของ ไม้เมืองเดิม กับ ยาขอบ นักเขียนชายสองคนที่สำนวนถูกใจฉัน...ส่วนโน่นเป็นของ ดอกไม้สด แล้วนี่...ของวรรณสิริ น้อยชลานุเคราะห์ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ อ้อ...โน่นของคนที่เป็นไม้หอมศิลปินแห่งชาติ ตู้นี้ศิลปินแห่งชาติทั้งนั้น กฤษณา อโศกสิน ลาว คำหอม อาจินต์ ปัญจพรรค์ รพีพร อังคาร กัลยาณพงศ์ เสนีย์ เสาวพงศ์ อ้าว...นี่ ก.สุรางคนางค์ โน่น ก.ศยามานนท์ นี่ สีฟ้า ตู้นี้นวนิยายทั้งนั้น ถัดไปตู้โน้นจะเป็นวรรณคดีทุกเล่ม แล้วถัดมาทางนี้ก็จะเป็นพวกสารคดี..."



"...ผมขับรถไปนครสวรรค์บ่ายวันนั้น โดยเอา มือนั้นสีขาว ติดรถไปด้วย
ระหว่างทางผมนึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้กินข้าวจึงแวะข้างทาง แล้วก็เลยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านไปกินไป ผมงงไปหมดไม่ว่าจะอ่านบทไหนมันชวนให้งง แต่เต็มไปด้วยสารทางความรู้สึกบางอย่าง รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแล่นผ่านไปตลอดร่างของผม อะไรที่ผมเชื่อว่าผมมีมันอยู่และเพิ่งค้นพบ แต่มันคืออะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
แกว่งสารส้ม

ตุ่มนี้เออหนอน้ำขุ่นข้น
ขุ่นจนชะโงกส่องหน้าไม่เห็นเงา
จุ่มก้อนสารส้มแกว่งน้ำหมุนวน
ขุ่นข้นจำแนกแยกตัว
ขุ่นมัวบิดเกลียวสู่ก้น
เกลียวกร้าวอลวนทุรนทุราย
กระทั่งเกลียวคลั่งค่อยผ่อนคลาย
ขุ่นกลายตกตะกอนนอนก้น
ข้างบนนั่นน้ำนิ่งใส
ไร้ขุ่นเคลือบแคลง
ส่องหน้าเห็นตนแจ้ง ประจักษ์ใจ
ชวนพลางฉุดแขนแม่มาก้มดู
หนูเก่งไหมแกว่งจนน้ำใส
แต่เออหนาอย่าให้กระทบกระทั่ง
เดี๋ยวขุ่นข้นจะกลับคลั่งขึ้นมาได้

ผมแทบจะหยุดกินข้าวไปเลยเมื่ออ่านบทกวีบทนี้ ผมนี่ไง ผมก็เหมือนน้ำแกว่งสารส้มนี่เอง หรือยังไม่ได้แกว่งกระมังมันถึงได้พล่านอยู่เช่นนี้..."

จากดวงตาดอกไม้ โดย ชมัยภร แสงกระจ่าง

"...ด้วยสองมือเรานั้นจะสรรค์สร้าง
ด้วยดวงใจเปิดกว้างและฝันใฝ่
ด้วยดวงตามองโลกอย่างก้าวไกล
มาจับมือรวมใจไปด้วยกัน
ไปรื้อฝันสร้างขวัญให้มวลชน
ไปปลอบทุกข์ปลุกคนให้ยืนมั่น
ที่ยากไร้หมองหม่นประจบประจัญ
สู้ฝ่าฟันสร้างสังคมอุดมการณ์..."

นวนิยายชีวิตหนุ่มสาววัยแสวงหา

...เรานั่งคุยกันบนเสื่อข้างกองไฟ มีคำถามสารพัดสารพันที่ตั้งขึ้นเพื่อจะผลัดกันตอบให้กับความเยาว์วัยของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับความเป็นเพื่อน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด
มนุษย์เราจะเป็นเพื่อนกันไปจนตลอดชีวิตไหม?
เพื่อนจริงๆ ชนิดที่ไม่มีอารมณ์ผู้หญิงผู้ชายปะปนเลยเลยจะมีไหม?
พี่น้องกับเพื่อน ใครยิ่งใหญ่กว่ากัน?
ไปจนกระทั่งถึงคำถามเกี่ยวกับความเป็นหนุ่มเป็นสาว

เราควรจะเดินตามคำขานรับของศรีบูรพาไหม?
คิดว่า ยง อยู่บางยางและวัลยาของเสนีย์ เสาวพงศ์อยู่ที่ไหนในสังคมไทย?
เราควรจะเป็นนักแสวงหาแบบวิทยากร เชียงกูลหรือสุชาติ สวัสดิ์ศรีดี?
กระดาษแผ่นเดียวของวิทยากร เชียงกูลสำคัญต่อชีวิตไหม?
เราควรจะเรียนเพื่อใคร พ่อ แม่ ตัวเราเองหรือเพื่อสังคม?
ตามด้วยคำถามเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์

มนุษย์เราเกิดมาทำไม?
มนุษย์ที่ดีควรมีคุณสมบัติเช่นไร?
ใครเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดของโลก ของสังคม ของบ้าน?
และปิดท้ายด้วยความเป็นชีวิต

ชีวิตคืออะไร?
ชีวิตแบบไหนที่มนุษย์ต้องการ?
ชีวิตที่สมบูรณ์มีไหม?
ไหนลองประเมินชีวิตตนเองสิ...

ปาฎิหาริย์บันทึกรัก The Notebook โดย Nicholas Sparks


เรื่องราวความรักที่พลิก "โศกนาฎกรรม"ให้กลายเป็น "ปาฎิหาริย์"
ในยามนี้ที่จู่โจมโถมสู้ศึก
ไร้ผลึกแห่งวลีที่กล่อมขวัญ
เมื่ออักษรและงานศิลป์สิ้นสำคัญ
อีกหนึ่งวันจักสูญลบจบบทเรียน
แล้วนักรบทอดกายเหม่อปลายฟ้า
คล้ายค้นหาวรรคทองปองอ่านเขียน
ในราตรีที่นิทรามาเยียมเยียน
สนิทนิ่งแนบเนียน...ศพ-ดวงดาว...

ไม่มีสิ่งใดหายไปจริงๆ...หรือถูกทำให้หายไปได้...
กำเนิด, นาม, รูปทรง...หรือวัตถุทุกอย่างในโลก
ชีวิต, พลัง...หรือสิ่งที่มองเห็นได้
สังขาร, เชื่องช้า, ชรา, หนาวสั่น-คือถ่านเถ้าที่เคยเป็นไฟ
รอเวลาลุกไหม้กระพือโหมอีกครั้ง




 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

รักจากใจจร Dear John โดย Nicholas Sparks

"...จอห์นที่รัก จดหมายฉบับหนึ่งที่ขึ้นต้นด้วยคำคำนี้ทำให้ชีวิตของคนสองคนแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล..."

...ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงเหมือนคืนที่เราพบกันเป็นครั้งแรก ฉันอยากให้คุณมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี ฉันอยากให้คุณคิดถึงฉันและช่วงสัปดาห์ที่เราได้อยู่ด้วยกัน เพราะว่า...ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของฉัน นั่นเป็นสิ่งที่ฉันจะทำ ถ้าเราไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในชีวิตนี้อย่างน้อยเราก็ส่งใจถึงกัน และเก็บรักษามันไว้ได้ตลอดไป...

เมื่อ ซาวันนาห์ ลิน เคอร์ติส ก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา จอห์น ไทรี ก็พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากเด็กหนุ่มจอมเกเรผู้สมัครไปเป็นทหารเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีกับชีวิต เขาได้พบกับหญิงสาวในฝันระหว่างลาพักกลับมาเยี่ยมบ้าน รักแรกพบของสองหนุ่มสาวได้กลายเป็นความผูกพันลึกซึ้งที่ทำให้ซาวันนาห์รับปากว่าจะแต่งงานกับจอห์นหลังปลดที่เขาประจำการ แต่เหตุการณ์ 9/11 ก็เปลี่ยนโลกที่ทั้งสองเคยรู้จักไปอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวผู้รักชาติอีกจำนวนมาก จอห์นต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความรักกับการรับใช้ชาติ และเมื่อเขาได้กลับบ้านที่นอร์ธ แคโรไลนา จอห์นก็พบว่า รักแท้ที่เขามีต่อซาวันนาห์ คือพลังที่จะบีบบังคับให้เขาต้องตัดสินใจกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ยากยิ่งและทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิต